เคยคิดเหมือนกันนะ..ว่าผู้หญิงตัวคนเดียว เกิดอารมณ์อยากเที่ยวป่าเขา เที่ยวถ้ำ มันจะน่ากลัวมั้ยน้า!! แต่ด้วยใจเกินร้อย ถึงแม้มันจะกลัวหน่อยๆ แต่ด้วยความอยากไป จะให้รอใครก็คงจะอีกนานกว่าจะได้ไป ในเมื่อตั้งใจก็ลุยเลย มองฟ้ามองฝน ก็แลดูจะเป็นใจ…สตาร์ทรถออกเลยละกันงั้น!!
ถ้ำเมืองออน ต.บ้านสหกรณ์ อ.แม่ออน ขับรถมาทางถนนสันกำแพงตัดใหม่ มาทางน้ำพุร้อนสันกำแพง อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 17 กิโล ขับรถแบบชิวๆ ขับไปร้องเพลงไป จอดถ่ายภาพไป…ไม่นานก็ถึง อ๊ะๆ!!แต่อย่าขับเร็วหล่ะ เพราะจะมีป้ายเล็กๆชี้เป้าบอกทาง ไปยังถ้ำเมืองออน เราเองก็เกือบจะขับเลย เบรคแทบจะหัวทิ่มเหมือนกัน(หุหุ)องค์ใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางท้องทุ่ง ขับขึ้นเนินไปไม่ไกล เราก็จะพบกับทางขึ้นถ้ำเมืองออน
ลานจอดรถกว้างขวางค่ะ…จอดได้เลย สำหรับใครที่นำมอเตอร์ไซต์มาก็มีที่จอดรถให้ เสียค่าบำรุงสถานที่ 10 บาท สำหรับรถยนต์ฟรีค่ะ!! สำหรับใครที่คิดว่าการเดินขึ้นเขาจะเหนื่อย แนะนำให้ซื้อน้ำดื่มสักขวด จากด้านล่างนี้ จะช่วยได้มากๆ โดยค่าเข้าชมถ้ำ คนละ 20 บาท ลุงและป้าที่ดูแลสถานที่ ใจดีมากๆ แอบถามเราเบาๆ ว่า กลัวความสูงหรือเปล่า เมื่อวันก่อนที่หนูจะมา ก็มีผู้หญิงมาคนเดียวแบบนี้แหล่ะ!! แต่ไปได้ครึ่งทางแล้วเกิดกลัว จึงเดินลงมา…ขาลุยแบบเรามีหรือจะกลัว ตอบคุณลุงคุณป้าแบบเสียงดังฟังชัดว่า…”ไม่กลัวค่า หนูจะเดินสำรวจทุกซอกทุกมุม”
ขอบอกก่อนว่า การเตรียมตัวเดินของเราในครั้งนี้ มันช่างดูพะรุงพะรังซะเหลือเกิน..แค่กล้องก็หนักเป็นกิโล ไหนจะกล้องโกโปร มือถือ น้ำ ดอกไม้สำหรับไหว้พระ..แต่ก็นะ ยัดใส่เป้ แบกมันไปหมดเนี้ยแหล่ะ
เริ่มเดินอย่างมีความสุข….สุข….เดินฮัมเพลงในคอเบาๆ ได้เพียงแป๊บเดียวเท่านั้นน่ะ เหงื่อมันก็พร้อมใจกันหลั่งไหล บันไดมีอยู่ 187 ขั้น เดินมาได้ขั้นที่ 50 มันก็เหมือนจะขาอ่อนแรงหน่อยๆ แต่ก็นะ(สู้ตายค่า!!)
ลากขามาจนถึงยังปากถ้ำ ก่อนถึงปากถ้ำด้านซ้ายมือจะมีพระให้เรากราบไหว้ขอพรก่อนเดินทางลงถ้ำ เพื่อความเป็นสิริมงคลและให้แคล้วคลาดปลอดภัย ติดกับปากถ้ำจะมีสถูปเจดีย์ครูบาศรีวิชัย ในอดีตถ้ำแห่งนี้มีชื่อว่า “ถ้ำดอยศิลา” ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาได้เดินทางธุดงค์มาพบถ้ำดอยศิลาแห่งนี้ จึงได้ชักชวนชาวบ้านและผู้มีจิตศรัทธาสร้างถนน และบันไดนาคขึ้นสู่ปากถ้ำและได้สร้างพระพุทธรูปทันใจเสร็จสิ้นภายใน 1 วัน ซึ่งพระพุทธรูปทันใจ ประดิษฐานอยู่บนยอดดอย กล่าวกันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ต่อจากนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อ ถ้ำดอยศิลา เป็น ถ้ำเมืองออน จวบจนถึงปัจจุบัน
ก่อนลงถ้ำจะมีผู้ดูแลถ้ำขอตรวจบัตร และที่นี่ก็มีเช่าไฟฉายด้วยนะ สนนราคา 20 บาท/อัน และถ้าเราอยากที่จะทราบประวัติความเป็นมาของถ้ำ ที่นี่ก็มีไกด์ท้องถิ่นให้ค่ะ แต่ราคาก็แล้วแต่เราจะให้(ตามความเหมาะสม) ชักชวนพี่ไกด์เรียบร้อย เราก็เริ่มเดินกัน…อ๊ะๆ!! สำหรับคนที่กลัวความสูง ขามันก็อาจจะอ่อนแรงตั้งแต่ปากถ้ำ เพราะมองลงไป มันช่างทิ้งดิ่ง ซะเหลือเกิน
เดินลงตาแทบจะไม่มองทางเดิน เนื่องมาจากตื่นเต้นเกิน มัวแต่มองวิวของถ้ำ จนพี่ไกด์แอบปรามเบาๆ ข้างในมีสวยกว่านี้อีก ก็คนมันไม่เคยมา…ไรงี้ เดินเข้ามาเราจะเห็นกับถ้ำฤาษี กำลังจะปรี่เข้าไปไหว้ พี่ไกด์ก็บอกกับเราว่า เดี๋ยวค่อยมาไหว้ตอนขากลับ…ตอนนี้ต้องเดินลงไปชมด้านล่างก่อน
เอิ่ม!!ค่ะๆ…….ว่าแล้วพี่ไกด์ก็เดินลงบันไดลงไปยังด้านล่าง เราก็ยังไม่ทันได้มองนะ พอไปยืนขอบทางลงเท่านั้น ความกลัวมันถาโถมมาจากไหนไม่รู้…..ทำไม!!มันชันขนาดเน้ แทบจะ 90 องศา ขามันก็จะอ่อนมาหน่อยๆ…นั่งค่ะ!! แล้วค่อยๆก้าวขาไปแบบเบาๆ กลัวก็กลัว อยากถ่ายรูปก็อยาก ทำไมชีวิตช้าน!!ช่างย้อนแยงเยี่ยงนี้
มองบันไดที่เลี้ยวไปเลี้ยวมาพาขาอ่อน พี่ไกด์ก็หยุดความกลัวของเราด้วย การอธิบาย หินไดโนเสาร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นฟอสซิลไดโนเสาร์จริงๆ หรือว่าแค่เหมือน(กันนะ)…ลงมาถึงยังด้านล่าง ก่อนที่เท้าจะแตะพื้น เราต้องไหว้ขออนุญาตครูบาศรีวิชัยกับพญานาคที่ปกปักรักษาถ้ำแห่งนี้
ภายในโถงถ้ำด้านล่างนี้ จะมีพระกรุณาไชยาสน์(พระนอน) และจะมีแท่นนั่งที่ในอดีตครูบาศรีวิชัย เคยมานั่งวิปัสสนากรรมฐาน ภายในถ้ำนี้ ถัดไปเราจะเห็นหัวสิงโต ซึ่งจะหันหน้าเข้าหาพระธาตุ คอยเฝ้าดูแลพระธาตุอยู่ ซึ่งนั่นก็คือพระธาตุนมผา นับเป็นพระธาตุที่สวยงาม เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ โดยข้างในพระธาตุนมผา บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า
ตามตำนานเล่าขานกันมาว่า…พระพุทธเจ้าได้ออกเดินธุดงค์เพื่อเผยแพร่ศาสนา แล้วได้เดินทางผ่านมายังถ้ำดอยศิลาแห่งนี้ ได้มีพญานาคที่สิงสถิตย์อยู่ภายในถ้ำได้เห็นพระพุทธเจ้าได้พำนักอยู่บนดอย จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์นำผลไม้ และ น้ำผึ้งป่ามาถวายแด่พระพุทธเจ้า เมื่อท่านรับและถวายพรแด่พญานาค จึงมีความยินดีได้ขอเกศาธาตุของพระพุทธเจ้ามาใส่ไว้ในพระธาตุนมผา เพื่อเป็นที่กราบไหว้สักการบูชาภายในถ้ำ
ถัดจากพระธาตุนมผา ก็จะเป็น พระพุทธเจ้านั่งบัว กราบไหว้ขอพรเสร็จ เราก็เดินไปยังโถงถ้ำซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของพญานาคที่คุ้มครองถ้ำแห่งนี้ แต่ก่อนที่จะเดิน เราเห็นโถงทางเดินจากไกลๆ เราก็ถึงกับอุทานบอกกับพี่ไกด์..ว่า “สวยงามมีน้ำด้วย แล้วเราจะเดินเข้าไปได้หรือ” นางเงียบ!!แล้วกระซิบบอกกับเราเบาๆว่า เราเห็นเป็นน้ำหรือ!! เราก็ตอบประสาคนช่างคุยว่า “ ใช่” เท่านั้นแหล่ะ…นางเงียบ(อีกแล้ว)แล้วนางก็บอกกับเราว่า คนที่มีความเชื่อและศรัทธาเท่านั้นแหล่ะ ถึงจะเห็นอะไรที่ “แปลกๆ” เอิ่ม!! ไม่รู้จะพูดอะไร…เงียบสิคร้า(รออัลไล)
จากนั้นนางก็ชี้ชวนพาเราไปดู “ไม้สักล้านปี” มันคือต้นไม้จริงๆ ที่กลายเป็นหิน ดูไปก็ตื่นเต้นไปนะ เดินเข้าไปจนสุดถ้ำ เราจะเห็น “หัวพญานาค” ถัดจากหัวพญานาค ด้านในซอกของถ้ำ จะเป็นลำตัวของพญานาค โดยถ้าเราสังเกตดีๆเราจะเห็นคล้ายกับว่าเป็นสันหลังของพญานาค ซึ่งส่วนนี้ เค้าจะมีป้ายเตือน ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไปค่ะ..กราบขอพระเรียบร้อย เราก็เดินออกมา ระหว่างเดินก็ชมนั่นนี่โน่น…ถ้ำนี้เป็นถ้ำหินปูนที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร ถึงจะเป็นถ้ำปิดเข้าออกได้ทางเดียว แต่อากาศข้างในก็ไม่อึดอัด อากาศถ่ายเทสะดวก ด้วยความที่เป็นถ้ำอากาศจะค่อนข้างชื้นและเย็นค่ะ แต่ถึงจะอากาศเย็นแต่เสื้อเราเปียกค่ะ…เนื่องมาจากเดินจนเหนื่อย กลับไปบ้านคงน้ำหนักลดลงมั่งหล่ะ
การมาเดินถ้ำควรจะแต่งตัวด้วยเสื้อที่ใส่สบายไม่รัดจนเกินไป กางเกงควรเป็นกางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ ให้เกียรติสถานที่และเพื่อการเดินที่สบายค่ะ
ขาลงว่าน่าหวาดเสียวแล้ว ขากลับยิ่งน่ากลัวไปอี้ก..เคล็ดลับ!! เดินห้ามเหลียวมองดูด้านหลัง ไม่งั้นไม่เป็นลมก็ขาอ่อนกะทันหันแน่นอน ก่อนกลับเราก็กราบขอพรปู่ฤาษีกันค่ะ จากนั้นก็เดินออกมายังด้านนอก สูดอากาศบริสุทธิ์ นั่งพัก ดื่มน้ำเพิ่มพลังได้นะ….
จากนั้นเริ่มเดินทางต่อ เพื่อไปชมวิวและกราบพระทันใจยังด้านบน ไม่ไกลแค่ 300 เมตร กับบันได 706 ขั้น(ชิวๆไปนะ) แต่ลืมไปหรือเปล่าค่ะ ว่าเป็น 300 เมตร(ดอย) ขาลากกว่าเดิมอีกค่ะ!! เดินไปก็แอบบ่นเล็กๆ สร้างกำลังใจให้ตัวเอง นั่งบ้าง เดินบ้าง พอเดินถึงยังด้านบน ดีใจประหนึ่งว่าเป็น “ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส” หายใจยังไม่ทันจะโล่ง ก็รู้สึกเหมือนถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง…
นี่เราไม่ได้อยู่คนเดียวหรือ!! ก็ไหนพี่ไกด์บอกว่า มีแต่เราที่เดินขึ้นมา(เอาหล่ะสิ!!) กวาดตามองหาที่มาของเสียง ก็ต้องพบกับ น้องลิงจั๊กๆ(รักจริงๆ) หืม!!!! ทำไมไม่มีใครบอกเราว่ามีลิง…เชียงใหม่ก็มีลิงนะ แต่ไม่ต้องกลัวไปค่ะ น้องลิงที่นี่นิสัยดี ไม่ค่อยดุร้าย
ขออนุญาตเจ้าถิ่นผ่านทาง เราก็เดินไปยังด้านบนสุดปลายยอดดอย จะมีองค์พระทันใจ ให้กราบไหว้ เล่าขานกันว่า ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ไหว้เสร็จก็ชมวิวแบบพาโนรามากันไป…..สวยงาม ประทับใจ แต่ยังไม่หมดเท่านี้น่ะ!!
เดินมาอีกด้าน เราจะเจอกับเจดีย์ เดินลงมาอีกนิด เราจะพบกับวิวภูเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา สวยงามประทับใจ ความเหนื่อยที่มีแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ที่สำคัญบนยอดดอยนี้ มีสัญญาณให้อัพภาพรัวๆด้วยน่ะ
สรุปค่าใช้จ่ายการเดินทางครั้งนี้
รวมยอด 340 บาท คุ้มเกินคุ้ม เที่ยวชิว วิวสวย แถมได้ความผอมกลับบ้านด้วยนะ
รีวิว/ภาพ ปาณิสรา นฤประชา
เครดิต : http://aewdee-review.com